วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

โปมินมิน

เสียงลมพลิ้วแผ่วผ่านใบไม้ต้นหญ้า อุณหภูมิยะเยือกหลั่งมานำพาเอาสายลมที่วิ่งเข้าหาความอบอุ่นเคลื่อนไป พลบค่ำก้าวย่ำเข้าสู่เวลาแห่งนิทรา จันทราปรากฏเด่นพร่างพราวกลบแสงดาวริบหรี่นับหมื่นล้านให้กลืนหายไป ได้เวลาทำงานแล้ว....

อมนุษย์ร่างเล็กเตี้ยค่อม จมูกยาวงองุ้มเล็กน้อย ดวงตาที่แสนโตและลูกในตาสีเหลืองอ่อนจนแทบจะเป็นสีขาว ปากเล็กสีชมพู ใบหูเล็กเท่าหูหนู ผมยุ่งหยิกฟูเหมือนทรงแอฟโล่ สวมชุดที่ทอจากหญ้า สวมรองเท้าที่ทำจากเปลือกหอยและปีกแมลงทับมันระยิบ สะพายตะขอใหญ่และเชือกเส้นยาวม้วนอยู่ที่ด้านหลัง

ดวงตาที่เหลืองจนแทบขาวนี้ใช้ในการตรวจสภาพและวัดแสงของเหล่า ดวงดาว จมูกที่แสนใหญ่โตใช้เพื่อระวังอันตรายจากสิ่งรอบข้าง ใบหูเล็กๆนี้ใช้กลองเสียงที่ระเอียดอ่อนที่แผ้วผ่านทุ่งมา เสื้อที่ทอจากหญ้าใช้เพื่อพรางตัวยามวิกาล รองเท้าที่ทำจากฝาหอยและปีกแมลงทับขัดมันนั้นดูจะเป็นความภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวขอเหล่า โปมินมินก็ว่าได้ เพราะเป็นเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวในตัวของเหล่าโปมินมินเหล่านี้ และที่เหล่าโปมินมินสามารถใช้เปลือกหอยขัดมันได้เพราะ ที่ผ่าเท้าของพวกมันจะมีกาวไหลออกมาจับยึดได้แน่นเหนียวที่สุด เพื่อใช้ในการปะดาวไว้บนฟากฟ้ายามค่ำคืนคืนนี้เป็นคืนจันทร์เสี้ยวพลบค่ำ
ก็ถึงเวลางานแล้วเหล่าโปมินมินจะออกเดินทางไปยังยอดเขา หรือเนินสูงเพื่อง่ายต่อการปีนขึ้นไปบนฟากฟ้า พวกมันไร้ปีก แต่ตะขอใหญ่และเชือกนี่แหละคืออุปกรณ์สำคัญในการไต่นภา มันจะเหวี่ยงตะขอให้ไปเกาะกับส่วนเสี้ยวของพระจันทร์ หลังเกี่ยวจันทร์ได้แล้วก็ปีนขึ้นไปยังดวงจันทร์ ถอดรองเท้าเปลือกหอยซุกเข้าไปในเสื้อหญ้าของมัน และเหวี่ยงตัวตามกระแสลมที่พัดพา เมื่อเท้าไปติดอยู่ที่ใดมันจะควักเอาดวงดาวที่ซุกอยู่ในผมของมันออกมาติดไว้ และเก็บเอาดาวดวงเก่าที่ไม่ค่อยจรัสแสงซุกเข้าไปในเสื้อหญ้าของมัน ยิ่งราตรีกาลสงัดเท่าไหร่เราจะเห็นดวงดาวสกาวพราวพร่างมากเท่านั้น และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมดาวยามราตรีป่าเขาถึงมากมายกว่ากลุ่มดาวในเมืองใหญ่ ยิ่งใกล้วันเดือนเพ็ญเท่าไหร่ที่เกาะเกี่ยวก็ยิ่งน้อยลงทำให้การประดับดาวนั้นยากขึ้นเราจึงเห็นดาวในวันที่ยิ่งใกล้เดือนเพ็ญนั้นมีน้อยเหลือเกิน

เมื่อเดือนเพ็ญเต็มที่ ก็จะมีเทศกาลใหญ่ของเหล่าโปมินมิน เรียกว่า “เทศกาลตากดาว” เมื่อแสงจันทร์เต็มดวงเต็มที่แล้วจะทำให้ดาวที่โปมินมิน เก็บมาตากนั้นดูดเอาแสงจันทร์ได้อย่างเต็มที่จึงกลายเป็นเทศกาลตากดาววันพักที่แสนสนุกสนาน ส่วนในคืนเดือนแรมนั้นก็เป็นวันหยุดพักของเหล่า โปมินมินเพราะจะไม่มีแสงจันทร์มาบดบังแสงดาวที่ติดไว้คืนก่อนหน้านี้....นี่คือเรื่องราวของเหล่าโปมินมิน

แต่หน้าเศร้าด้วยจมูกอันโตของมันทำให้มลพิษเข้าไปในร่างกายมากเหล่าโปมินมิน จึงต้องอพยพย้ายถิ่นหลีกหนีความวุ่นวายที่เหล่ามนุษย์ได้สร้างขึ้น ภูเขาและเนินสูงต่างๆถูกขุดเจาะทำลาย มลภาวะมากมายทำให้กระแสลมแปรปรวน ดาวถูกแสงและกลุ่มควันของเมืองใหญ่ปกคลุม จิตใจอันกระด้างของมนุษย์พร้อมจะจับและทำลายสิ่งที่ ตนเองว่าไม่มีเหตุผล ทำให้โปมินมินต้องอยู่อย่างยากแค้นมากขึ้น คงไม่ต้องตั้งคำถามที่ถามซ้ำๆและเราได้ยินจนชินหูว่า “ทำไมในเมืองใหญ่ถึงไม่มีดาว”

2008-08-15 12:42:34/TheGo...

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หนังสือ



หนังสือมีอยู่หลายเล่ม

มีบางเล่มที่อยู่ใกล้ตัวเรา

แต่เรากลับไม่ค่อยจะพลิกอ่านมัน

มันคือหนังสือชีวิตที่เราได้เขียน

ขีดลบเพิ่มเติมเรื่องราวเอาไว้

ลองพลิกกลับไปดูว่า

เราเคยเจอเรื่องเลวร้ายมามากแค่ไหน

แล้ววันนั้นเราผ่านมันมาได้ยังไง

ปัญหาที่เราเจอคือบทเรียนบทใหม่

ที่เราจะเขียนข้อความว่าเราสู้ผ่านไปได้

หรือเขียนว่าเราจมลึกลงกับมันจนว่ายไปไม่ไหว

พรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็ขึ้นและเวลาที่มืดและเงียบที่สุด

ก็ใกล้เวลาของพระอาทิตย์วันใหม่จะโผล่ขึ้นมา
ให้ดอกไม้ตื่นนอน ต้นไม่ทิ้งนิทรา สู่สว่างฟ้าเช้าวันใหม่

ภาพ






สิ่งที่สายตามองเห็นอาจไม่ลึกซึ้งเท่าสิ่งที่หูได้ยินใจได้สัมผัส เราอาจจะมองเห็นความสวยงามของธรรมชาติแต่ไม่รู้ถึงความในที่อยู่ในสายน้ำตกแห่งนี้ สารปนเปื้อน เสียงใคร่ครวญ เด็กพิการ ล้วนเริ่มจากภาพที่ดูสวยงามนี้ ยังมีอีกหลายภาพที่ได้รางวัล ภาพเหล่านั้นปะปนเอาความเจ็บปวด ความสุข ความเศร้า การดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ใครจะรู้ ขณะที่คนนับหมื่นแสนชื่นชม แต่คนที่อยู่ในรูปกลับไม่มีโอกาสได้รับรู้และเข้าใจด้วยซ้ำว่า มันมีค่ามากมายแค่ไหน เหมือนกับเราที่อย่ามองแต่มุมเดียว โลกนี้เป็นสามมิติ เราก็ควรมองทุกด้านเพื่อที่จะไม่ละใครไว้ด้านหลัง ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งอย่ามองเพียงผิวเผิน แล้วปล่อยให้เป็นเพียงลมที่ผ่านมา

ภาพงดงามอาจซ่อนความมากมาย

ล้วนหลากหลายแง่มุมในรูปนั้น

เพียงลองมองในมุมที่กลับกัน

จะเห็นมันคุณค่าที่แท้จริง

เดียวดาย

คนหนึ่งคนใช่อยู่เพียงเดียวดาย
รอบข้างกายรักกอดอยู่เสมอ
ทั้งพ่อแม่เพื่อนพ้องพี่น้องเธอ
อย่าได้เผลอเศร้าใจทำลายตัว

ลูกสน

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ถอดรองเท้าแล้วก้าวไปบนผืนทรายอย่างช้าๆ
ซึมซับอุณหภูมิที่แผ่ผ่านอณูดินเม็ดต่อเม็ดสู่ฝ่าเท้าแต่ละย่าง
เสียงของละลอกคลื่นตีขึ้นฝั่งกระทบดินแตกกระจายเป็นฟองนับหมื่นแสนซึมซาบสู่ผิวดินละลอกแล้วละลอกเล่า
สายลมเอื่อยที่พัดพาเอาฝุ่นทราย และกลิ่นเกลือเข้ามาจับผิวกาย
วูบของลมอุ่นที่พาให้ เส้นใบสนล่วงหล่นลงมาเกาะที่เส้นผม

โอ้ย เสียงอุทานที่เกิดจากการเดินทางของความเจ็บปวดที่มาจากฝ่าเท้าแล่นเข้าสู่สมองแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่ยกเท้าขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
สายตาแลมองไปที่ต้นเหตุของปัญหา มันคือ ลูกสนเม็ดหนึ่งในล้านเม็ดที่เผลอเหยียบโดน
แต่เสียงอุทานนั้นกลับถูกกลืนไปกับเสียงคลื่นโดยไร้การโต้ตอบ
เวลานั้นเองเหมือนกับว่าหัวใจหยุดเต้นชะงักไปจังหวะหนึ่งก่อนเข้าสู่ภาวะปรกติ
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเล็กน้อย

มอบ

การมอบเวลาให้กับคนบางคนอาจจะไม่ได้สิ่งใดกลับมา
การมอบเวลาให้คนบางคนอาจทำให้เราต้องเจ็บปวด
การมอบเวลาให้กับคนบางคนอาจทำให้มีความสุขอย่างสุดแสน
การมอบเวลาให้กับคนบางคนอาจทำให้เราเหมือนเป็นคนโง่
การมอบเวลาให้กับคนบางคนอาจทำให้คนอื่นอิจฉา
การมอบเวลาให้คนอื่นอาจเจอเรื่องราวต่างๆมากมาย
แต่การมอบให้ด้วยความรักนั้นคือการไม่หวังสิ่งใจกลับมาเลยเลือกให้ถูก
แต่สุดท้ายอย่าเลือกที่จะมอบเวลาให้กับความผิดหวังเพราะจะทำลายเรา
เลือกที่จะมอบเวลาให้กับความผิดหวังมาให้พ่อแม่ และคนที่รักเราดีกว่าไหม

ประหารชีวิต

ตายดีกว่าตูนี้มิอยากอยู่
ลองคิดดูอยู่ไปหนักพระเศียร
เกียรตินิยมมิได้อย่างพากเพียร
จึงขอเปลี่ยนเป็นหน้าหนึ่งไทยรัฐแทน

เจ็บเหลือที่อกนี้ใจแทบขาด
เธอตัดขาดรักนี้ที่สุดแสน
เจ็บครั้งนี้จำไว้ด้วยแรงแค้น
บูชาแทนรักนี้ด้วยความตาย

เข้าไม่ได้ทำไมเพราะอะไร
มั่นตั้งใจอ่านเขียนมิเคยสาย
ทำทั้งหมดด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย
สุดเสียดายเอนท์ไม่ติดตายเถิดเรา

15/7/51

108 กลอน

สบตาบาดลึกถึงหัวอก
อยากชกกำแพงผาพนัง
โอ้เธอกินไรน่ารักจัง
อยากขังเธอไว้ในใจจริง


คิดถึงตัวเธอที่อยู่ไกล
ด้วยภายในใจอยากรู้นัก
ว่าเธอร้ายดีขอประจักษ์
จะส่งรักไปประโลมข้างเคียงเธอ

คนน่ารักทำไมไม่ยักตอบ
หรือคำตอบไม่มีให้คนเหงา
ขอคำเดียวรดหัวใจที่ซึมเซา
ช่วยบรรเทาเสริมใจนี้เถิดเธอ

เลอะเทอะเปรอะรักซักไม่ออก
เพราะโดนเธอหลอกซ้ำรอยแผล
เล่นเดินผ่านกันทำไม่แคร์
โอ้ใจเจ็บแย่ร้าวระบม
8/5/51

แต่งขำขำเพื่อย้ำความคิดถึง
ใครคนหนึ่งหัวใจแสวงหา
ว่าคงเดินเคียงกันวันข้างหน้า
เพียงเม้นมาให้ใจได้ชื่นบาน

น่ารักเหลือทนคนอะไร
ทำไมสะกดใจอย่างนี้
จดจำติดตาทุกนาที
ขอทีอย่าน่ารักเกินไป

ใจร้องรวดร้าวรู้ระทม
ด้วยตรมขมจิตพิสมัย
โอ้เธอแรกรักว่าจริงใจ
แล้วใยล้างรักง่ายดาย
2-7-51

ชีวิตคนนั้นต้องเจอทั้งทุกโศก
ทั้งไข้โรคหลากหลายมากมายแสน
แล้วจะเกิดมาพบความข้นแค้น
เสียดายแทนแล้วอยู่เพื่ออะไร

อยู่เพื่อใครสิ่งใดหาคำตอบ
หรือคือสอบบทเรียนให้แก้ไข
แล้วเกิดมาอยู่ไปเพื่อใคร
ตอบได้ไหมใคร่รู้กู่บอกที

คำตอบนั้นคงอยู่มานานแล้ว
เป้าหมายเจ้ามีกำหนดทางวิถี
เกิดมาเพื่อเดินตามผู้แสนดี
พระเจ้านี้จะนำเราสู่ความจริง
10/7/51

เติมรักวันละนิดต่อละน้อย
แล้วค่อยค่อยส่งต่อความคิดฝัน
รอกระทั่งประสานใจเดียวกัน
จูงมือกันทำฝันของฉันเธอ


เหตุไฉนใยสวยเหมือนโกหก
ทำตลกหน้าตาแสนจิ้มลิ้ม
แค่ปลายตาก็สะกดดั่งศรทิ้ม
จึงขอพิมพ์มาบอกใช่หยอกเอิน
15/7/51

เมื่อตรองดูโอชีวิตช่างแสนสั้น
วันต่อวันผันผ่านใครคิดถึง
วันสู่ปีชราเพิ่งคำนึง
แล้วก่อนถึงวันตายทำอะไร

ก่อนมืดมิดอับแสงในนที
ขอเพียงมีแสงหนึ่งส่องให้เห็น
เพื่อบอกทางสะท้อนเมื่อลำเค็ญ
ถึงยากเย็นไม่หวั่นตามมุ่งหน้าไป

เป็นไทยแท้ใยมิทราบรู้ภาษา
แต่ก่อนมาชาติไทยจรัสแสง
แต่บัดนี้ชาติหมดสิ้นเรี่ยวแรง
เพราะแขนงไทยนั้นมิรักษ์ไทย


รักแล้วจงรักมากฟื้น
ดั่งฟืนหนุนต่อทอแสง
เมื่อใครคนหนึ่งหมดแรง
เติมแสงเคียงข้างมิห่างกัน
21/7/51

เปลี่ยนแปลงไปร่างกายหายั่งยืน
ไม่กี่ตื่นวันคืนร่วงเลยผัน
แต่ถ้าใจเรามีกันและกัน
อายุนั้นเป็นเพียงเลขคำนวณ
24/7/51

เพียงรู้เห็นเป็นเธอก็ใจแป้ว
ดั่งลมแผ่วสั่นระริกที่ติ่งหู
ถ้าไม่เชื่อเชิญเธอเข้ามาดู
ให้เธอรู้ในใจมีแต่เธอ

อยากจะบินไปตามกระแสลม
อยากจะชมแสงจันทร์อันผุดผ่อง
แสงอาทิตย์ทอแสงประกายทอง
อยากจะมองแลจดจำแต่ภาพเธอ

หวานที่พบหาใช่จากภายนอก
แต่มันออกมาจากในใจฉัน
ซึ่งหวังว่าจะพบเจอเข้าซักวัน
คนในฝันเธอนั้นมีอยู่จริง

ขอขอบคุณในไมตรีที่มีให้
ออกจากใจถึงใครที่ตอบฉัน
หวังว่าคงช่วยเพิ่มเติมสัมพันธ์
กันและกันเพื่อนกันตลอดไป
เรียงถ้อยคำเขียนตามหัวใจสั่ง
เป็นพลังขับเคลื่อนเปื้อนคำหวาน
แปะอักษรเรียงต่อเข้าประสาน
ให้ผู้ผ่านอ่านคำย้ำชื่นใจ
29/07/51

การเวลาเปลี่ยนตนคนเปลี่ยนแปลง
บ้างร้อนแรงแลเศร้าเอาไงหรอ
แต่จำไว้แสงอาทิตย์ยังมีพอ
สาดแสงทอกระทบกายทุกคน

บางทีความเศร้าอาจไม่ช่วยให้เรายืนขึ้นได้เลย
แต่การก้าวผ่านความเศร้านั่นแหละคือพลังที่แท้จริง

โอ้ฝูงนกฝูงไก่และฝูงปลา
โอ้ฝูงม้าฝูงลิงชะนีค่าง
โอ้ฝูงเป็ดแมวน้อยร้องอ้อนคราง
โลกสรรค์สร้างให้เราได้มองดู

โอ้มนุษย์คนหนอช่างโง่เขลา
ปัญญาเบาสตินิ้มเสียจริงหนา
พูดเล่นลิ้นโกหกไม่รู้ค่า
เพื่อรักษาตัวรอดแต่คนเดียว
31/7/51

อย่าทำตัวดังดอกไม่ริมทางธาร
อะไรผ่านแผ้วพานชมเชยง่าย
จงรักษาของล้ำค่าของร่างกาย
มิให้ชายสามานมาผลาญไป
6/8/51

กี่หมื่นแปดความรู้ความเข้าใจ
กี่ร้อยใครผันผ่านเดินเข้ามา
ฉันแค่เพียงคนหนึ่งเคยสบตา
หามีค่าได้เธอมาคู่ครอง
12/8/51

อธิบายความรักได้ร้อยแปด
ดังสีแสดแผดทรวงดวงใจฉัน
หรือจะเทียบกับฟ้านภาวัน
แต่ใจนั้นกับไร้คนคู่ครอง

ดุจธารน้ำธารากระแสเชี่ยว
ดุจทางเลี้ยวลดลัดอันขุ่นหมอง
ดุจกระดี่ได้ฝนแอ่งน้ำนอง
แต่เสียงร้องจากใจว่าไม่มี

ดุจลมเป่าพัดมาพายะเยือก
ประดุจเหยือกเติมน้ำตามวิถี
เปรียบกับเสียงแผ่วเบาในกวี
อยากจะมีใครซักคนมาคู่เรา
13/8/51