วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หนาวจัง

หนาวเพียงหรือสู้หนาวหัวใจ
มองข้างในไร้คนดลใจฉัน
คงต้องอยู่เดียวดายใต้เงาจันทร์
และรอวันที่ฉันจะพบเธอ

จะเดือนปีผันผ่านกาลเวลา
จะชิวหาคำนึงถึงเสมอ
แม้ตอนนี้หาได้ใกล้พบเจอ
แต่เชื่อเธอคนนั้นต้องมีจริง

แม้วันนี้อาจคงยังไม่ใช่
แต่มั่นไว้ใฝ่รอแม่ยอดหญิง
รอจะพบรักแท้เต็มขวัญมิ่ง
ด้วยประวิงหัวใจให้รอคอย

จักต้องข้ามคิมหันท์ผ่านให้พ้น
แม้ใจคนหวั่นไหวหากมิถอย
แล้วริเริ่มเติมเต็มทีละน้อย
จะรอคอยคู่แท้ที่เป็นเธอ

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พระจันทร์ยิ้ม

“ช่วงนี้ไม่ค่อยดีเลยเจอแต่เรื่องหนะ เหมือนมีแต่เรื่องเข้ามาหาตัวอุบัติเหตุเล็กน้อยเกิดอยู่เรื่อย”นี่คือบทสนทนากับเพื่อนคนหนึ่งหลังจากโทรไปบอกว่า ได้เห็นพระจันทร์ยิ้มหรือยัง และก่อนหน้านี้ “เนี่ยสุ่ยหนะ เพิ่งไปเข้าพิธีนอนในโรงศพ สะเดาะเคราะห์มาเอง เห็นว่าดวงไม่ดีขับรถไปเฉี่ยวมา”เป็นคำบอกเล่าของคุณยายหลังชวนคุณยายไปดู พระจันทร์ยิ้มที่หน้าบ้าน สองคนนี้เป็นเพื่อนวัยเดียวกันกับผม ผมไม่ส่ใจเรื่องโชคชะตาพวกนี้นะครับ แต่ผมก็ใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ ในเมื่อวันพุธที่ผ่านมา จำได้อย่างสนิทใจว่า เรามีโอกาสได้พบกับจูบแรกหรือที่ฝรั่งเรียก “เฟิร์สคิสส์” กับเขาเสียที แต่มันกลับทำให้รู้สึกกลัว ผวา เมื่อมันเกิดขึ้น ราวกับเราวูบหลับไปเพียงชั่วเสี้ยววินาที มันไม่ได้ให้ความรู้สึกเสียวซ่าน แต่มันกลับเกิดแรงกระทบ น้ำตาที่ล้นเอ่อ ความรู้สึกผิดที่ประดังเข้ามา สายตาของคนที่รับจูบแรกจากผม และสายตาจากคนรอบข้าง มันทำให้ผมประหม่า ทำอะไรไม่ถูก เพราะจูบแรกของผม ไม่ได้มอบให้กับผู้หญิง แต่กลับเป็นผู้ชาย หลังจากเขารับรอยจูบอันตราตรึงของผมเข้าไปแล้ว สีหน้าของผู้ถูกประทับตรา ก็สุดแสนจะตกใจ เอามือรูปครำที่หน้าอก ราวกลับว่าหัวใจของเขาเต้นผิดจากจังหวะเดิมที่เป้นอยู่ ราวกลับเลือดคลั่งที่จุกอยู่ บริเวณอกของชายผู้นั้น เขาค้อมตัวลง มือยังคงครำอยู่ที่หน้าอก ใจขอผมเต้นระรัว ทำอะไรแทบไม่ถูก คำถามเดิมวิ่งวนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมเรื่องอย่างนี้ถึงเกิดขึ้นกับผม น้ำตาร่วงหยดผ่านขอบตาใบหน้าทิ้งน้ำหนักลงสู่ผิวโลก พลันคำหนึ่งก็หลุดออกมาจากปาก “ผมผิดเองครับ” “ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง พี่ไม่ต้องห่วงเลย ผมจะจัดการทุกอย่างให้” ราวกลับว่าภูเขาที่ถาโถมอยู่ในอกเราทั้งคู่ ได้ถูกพลังอันยิ่งใหญ่สลายมันออกไปหมด “เดี๋ยวผมขอติดต่อทางบ้านก่อนให้เขารับรู้ เรื่องระหว่างเรา” ก่อนหน้าที่ผมจะอายุยี่สิบห้า หรือที่เรียกกันว่า “วัยเบญจเพส” ผมได้ประสบอุบัติเหตุครั้งหนึ่งคือ รถจักรยานยนตร์ผสานงานกับจักรยาน พลิกคว่ำพลิกหงายมาหนึ่งครั้ง และเมื่อต้นเดือนราคายางพาราตกอย่างรวดเร็ว ราวกับแรงโน้มถ่วงโลกดึงมันลงมา ราคาลดลงจนเหลือเพียงหนึ่งในสามของราคาเดิมเมื่อต้นเดือน สภาวะการเงินในบ้านหยุดชะงัก คนงานลากลับบ้าน คนรับจ้างตัดยางออก คนใหม่เข้ามาแทนที่ แต่แทนที่จะตัดยางกลับเลือกที่จะขโมย สายไฟในสวน วาวล์รดน้ำต้นไม้โดยการทุบท่อทิ้ง เบิกของที่ร้านขายของ และหนี ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่คนแล้วคนเล่าที่เข้ามากลับ เบิกของแล้วหนี เงินที่ไม่มีอยู่แล้วยิ่งร่อยหรอลง ผมต้องเข้าไปทำงานในส่วนที่คนงานออกไป ตากแดด ตากลม ทำงานตั้งแต่เช้า จนฟ้าเกือบมืด ภาระที่เพิ่มมากขึ้นกับร่างกายและจิตใจที่เริ่มท้อถอย วันพุธที่เกิดเหตุผม ตื่นตั้งแต่ตีสี่กว่าจะตีห้า เพื่อออกเดินทางข้ามจังหวัดไปยังจังหวัดจันทบุรี เพื่อไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งจริงๆแล้วเขาอายุห่างจากผมเกือบสิบปี (แต่ก็เรียนห้องเดียวกันจะให้เรียกพี่ร่วมห้องก็กลัวว่าจะงงกันเลยเรียกเพื่อนร่วมห้องดีกว่า) ก่อนออกจากบ้านผมได้ติดต่อไปที่บ้านว่าจะรีบกลับราวเที่ยงถึงบ่ายโมงก็ถึงบ้าน การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ผมอยู่ร่วมงานนานเกินไป แต่ก็ต้องเข้าใจคนหนึ่งคนใช่จะแต่งงานได้บ่อยๆ ผมจึงอยู่รอส่งเขาซึ่งก็เสร็จงานราวบ่ายโมง ผมแวะไปเยี่ยมเพื่อนแถวนั้นและรีบเดินทางกลับ และมันก็เริ่มต้นขึ้น การขับขี่ไปอย่างปรกติจนถึงแยกไฟแดง สิ่งสุดท้ายที่ผมนึกออกคือไฟแดง..............................................
.
.
..
ตูม เสียงแห่งความซาบซึ้ง เสียงอันตราตรึง ของการฝากรอยจูบครั้งแรกของผมไปที่ท้ายรถคันข้างหน้า
จะไม่ให้ตกใจอึดอัดได้อย่างไรในเมื่อรถไม่มีประกัน และเงินที่บ้านก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว พี่ที่ลงจากรถเอามือกุมหน้าอกเดินเข้ามาด้วยอารมณ์ไม่ต่างกัน
เป็นอย่างที่รู้ข้างต้นผมรับผิดชอบทุกอย่าง ดีนะที่พี่เขาเป็นคนระยองเหมือนกันเลยสะดวกในการซ่อม ติดต่อ และไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ผมรู้สึกขอบคุณที่ คนทั้งคู่ไม่ได้รับบาดเจ็บ พี่ที่เรียนด้วยกันกับผมมีอู่อยู่ในตัวเมือง
แม้ราคาจะสูงจนน่าตกใจ แต่คนกลับปลอดภัย (ท้ายรถที่ถูกชนเป็นรถที่ใช้แก๊ส)
หลังจากจัดการเรียบร้อยเรื่องราวก็ผ่านไป ผมพยายามตั้งหน้าตั้งตาทำงามเพื่อชดเชยความผิดพลาดที่เกิด เพราะเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว

วันนี้ผมก็ทำงานอีกเช่นเคย เช้าจรดเย็น ฟ้ามืดสนิท ผมเดินด้วยร่างกายที่เหนื่อยอ่อนด้วยความเพลีย เพื่อไปชำระล้างกายเมื่องานเสร็จ ก้าวอย่างระโหย พาตัวไปยังหน้าบ้านเพื่อเข้าบ้าน สายตาที่อิดโรยเหลือบไปพบกับฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด แต่ยิ่งทำให้รอยยิ้มที่ทรงพลังปรากฏชัดขึ้นในดวงตา ความเหน็ดเหนื่อย ปัญหา เรื่องราวทุกข์ใจมากมายที่พบเจอ เหมือนได้รับพลังจากรอยยิ้มรอยนี้..............
คุณเคยรู้สึกเหมือนผมไหมว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อชดใช้สิ่งที่เราคนอื่นทำผิดมาก่อน ถ้าต้องรับผิดชอบกับการกระทำของเราที่ไม่ใช่เราผมก็ไม่รู้จะเกิดมาทำไม แต่ผมเชื่อว่า ผมได้เกิดมาเพื่อเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง และเพื่อคนมากมายที่อยู่รายล้อมรอบกายผม ผมไม่ได้อยู่ลำพังคนเดียว ในขณะเวลานี้ที่บ้านเมืองนามว่าประเทศไทย เกิดปัญหามากมาย ไม่ว่าจะภายนอก หรือภายใน คนอยู่อย่างยากลำบากขึ้น การทะเลาะเบาะแว้งกระจายอำนาจทั่วทุกทิศมากขึ้น แต่ว่าธรรมชาติก็ยังคงอยู่ข้างเรา มีฝนตก แดดออก ลม อากาศให้เราหายใจ มีสีเขียวให้เราผ่อนคลาย และในวันนี้ พระจันทร์ตัวแทนของฟากฟ้าก็ยังหันมาสบตายิ้มให้ผม คุณ คนไทยทุกคน ที่ยังรู้จักที่จะมองรอบข้าง นี่คือความเท่าเทียมที่ไม่เคยลำเอียง นี่คือธรรมชาติ หรือที่ผมเรียกว่าสิ่งทรงของพระเจ้า

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ถึงเพื่อน+วันเรียนจบ

น้ำตานี้มีไว้มอบให้เพื่อน
มิรางเรือนแม้ทางห่างเพียงไหน
ให้รู้ว่าถึงจะใกล้หรือไกล
กำลังใจเรายังมีให้กัน(ส่งถึงกัน)


เชื่อพรุ่งนี้วันดียังมีเพื่อน
ย้ำคอยเตือนให้ก้าวไม่ถอยหนี
เราจำจากแยกทางแค่วันนี้
แต่สิ่งดีหามีเรือนจากใจ
เพื่อนคือเพื่อนตลอดกาลเวลา
ทางข้างหน้าหกล้มขอยืนได้
ขอให้เพื่อนรู้ว่ายังมีใคร
เป็นแรงใจเดินไปพร้อมพร้อมกัน
จากเพียงกายหัวใจใช่จากจร
ขออวยพรร้อนหนาวไม่หวาดหวั่น
ให้เข้าใจสู้ไปอย่างมุ่งมั่น


วันเดือนผ่านเพียงชั่วระยะหนึ่ง
ก็มาถึงวันนี้วันสุดท้าย
ที่ต้องจากพรากทางเดินข้างกาย
เพื่อแยกย้ายทำฝันของตัวตน
แต่หาใช่สุดท้ายมิตรภาพ
เพียงรู้ทราบจะส่งใจไปทุกหน
ว่าเพื่อนยังมีฉันอยู่ทั้งคน
อย่าสับสนอดทนเถอะพื่อนยา
อธิษฐานขอพรให้เพื่อนสุข
ล้มลงทุกข์จะไปช่วยรักษา
ก้าวพร้อมกันสู่ฝันวันข้างหน้า
พร้อมศรัทธาคำว่า"เพื่อน"เรามีเรา

ทำไปเรื่อย

เปลี่ยนความรักส่งเป็นความคิดถึง
เปลี่ยนจากหนึ่งกระจายเป็นหมื่นแสน
เปลี่ยนลมฟ้าฝากไปเป็นตัวแทน
ว่าอ้อมแขนฉันยังปลอบโยนเธอ


อยากจะโทรหาเธอเพราะคิดถึง
เพียงคำหนึ่งได้ยินก็ชื่นหู
อยากจะส่งใจไปเคาะประตู
อยากได้อยู่ในห้องหัวใจเธอ


ด้วยคิดถึงทรามวัยใจแทบบ้า
ดุจปักษามิอาจโผผกผิน
ดุจปลาน้อยขาดน้ำไหลรวยริน
อยากได้ยินเสียงเธอแทบขาดใจ


ฝนยะเยือกโปรยปรายพรายพัดหนาว
ดุจเรื่องราวท้าวความตามรักนั่น
ก่อนมิเคยมีซักคนเคียงข้างกัน
วอนเธอนั้นคู่ฉันได้ไหมเอย


เสียงเม็ดฝนหยดลงหลังคาบ้าน
ไหลลงธารสู่นทีทั้งน้อยใหญ่
แต่ตัวฉันหาได้อยู่คู่กับใคร
มีบ้างไหมคนที่พิจารนา


ลมฝนปรอยร้อยใจที่หนาวเหน็บ
ต่างชุนเย็บตะเข็บใจแล่นเข้าหา
คนไร้คู่ผู้เหงาใจใกล้เขามา
เสริมคุณค่าเพิ่งรักให้แก่กัน


เธอที่รักพักนี้อยู่ดีไหม
เจ็บป่วยไข้อย่างไรบอกทีหนา
เพราะวันนี้ฝนตกโปรยลงมา
ห่วงเธอว่าจะไม่ค่อยสบาย

วกวน

เกิดมีแก่เจ็บตายธรรมดา
ใครรักษาให้อยู่จีรังได้
หากแต่ทำจารึกตรึงตราไว้
สร้างสิ่งใดสลักในโลกา

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ถึงเธอ

อยากจะเอา นิ้วก้อย เกี่ยวก้อยเธอ
อยากจะเผลอ พร่ำรักเธอ มิเปลี่ยนผัน
อยากจะจับ ใจเรา มาผูกกัน
อยากมีวัน ที่ฉัน ได้คู่เธอ


เพ้อฉันเพ้อ ฝันถึง ตรึงพินิจ
คิดฉันคิด ถึงเธอ มิห่างหาย
รักฉันรัก เพียงเธอ มิเสื่อมคาย
แม้ชีพวาย ยอมตาย ได้เพื่อเธอ


ด้วยรอยยิ้ม สำเนียง เสียงสยาม
เรียงร้อยความ ทำนอง พ้องถ้อยเสียง
ตรึงจับขั้ว หัวใจ โดยพร้อมเพรียง
สุดจะเลี่ยง มิให้หลง ในตัวเธอ


ร้อยรอยยิ้ม พิมพ์ใน ฤทัยพี่
แสนยินดี เพียงเธอ ส่งยิ้มหวาน
สะกดตรึง ตราใจ ไว้เนิ่นนาน
ตลอดกาล ขอจำ แต่ภาพเธอ


ดุจดวงดาว พราวพร่าง กลางฟากฟ้า
เปรียบดารา ระยิบ กระพริบแสง
ทอความงาม ล่ามใจ ไร้เรี่ยวแรง
สวยทิ่มแทง คือเธอ ที่รักเอย


ปลายผมปลิว พริ้วพลอย ลอยลมเบา
ทิวลำเนา แห่งรัก ก้องประสาน
เนตรสำผัส แสงศิลป์ กู่กังวาล
ดุจตำนาน งามจริง ยิ่งในเธอ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หน้าเนื้อจิตอสุรา

ถ้อยแถลงกล่าวว่าสมานฉันท์

สัปดาห์ผันคนนั้นก็เริ่มเปลี่ยน

อำนาจมีในมือถือเสถียร

จึงร่ายเรียงแผนการผลาญผู้คน

จากหน้ายิ้มซ่อนในด้วยใจยักษ์

เพื่อพิทักษ์ปกปักสมัครผอง

ร่ายคำสั่งแตกหักประชาปรอง

สู่สยองโศกนาฏกรรมไทย

จากผู้เปรียบดุจเทพชั้นเทวา

เพียงมารยาเพื่อครองเขตคูขันต์

ตัวไม่อยู่ส่งเสียงดุจไฟกัลป์

เผาผลาญพลันชาติทรุดวิบัติเอย

ก้าว

ปลายทางอาจมิสม
ดังอารมณ์ที่มุ่งหมาย
แต่รู้ได้ลงลาย
มิเสียหายถ้าได้ทำ

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ถ้อย

อยากท่องไปในดินแดนวรรณกร
เรื่องราวสอนจ่ายข่าวรู้หลากมากสม
เปิดตาจิตดวงใจให้ได้ชม
ได้รื่นรมชมชื่นล้านขานเรียง
เพียงนิ่งนิดสงัดจิตเพรียกสัมผัส
กังวาลขับถ้อยข้อทออาศัย
ถ้วงทำนองมูลคำสัมผัสใน
ก่อวลีเรียงใหม่ห้วงร้อยกลอน

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

หวาน

คิดถึงเธอจะแย่
แม้หลับก็ยังฝัน
คิดถึงอยู่ทุกวัน
แล้วเธอนั้นคิดถึงใคร

อยากให้คนที่คิดถึง
นั่นเป็นคนนี้ได้ไหม
เพราะเต็มด้วยความห่วงใย
ออกจากใจหมดทั่งดวง

แปล่ม

คิดถึงเธอจะแย่

แม้หลับก็ยังฝัน

คิดถึงอยู่ทุกวัน

แล้วเธอนั้นคิดถึงใคร


อยากให้คนที่คิดถึง

นั่นเป็นคนนี้ได้ไหม

เพราะเต็มด้วยความห่วงใย

ออกจากใจหมดทั่งดวง

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

หุ่น

ดังหุ่นมนุษย์ใครเชิด
จะเปิดกองกลางขายขัง
มีไรขายหมดจบกัน
เมื่อนั้นพี่ชิ่งไปต่างแดน

ราวก่อวัดโบสโยมเห็น
ลับเล้นซุกซ่อนรัศมี
ดีทำโจ่งครึ้มเห็นดี
แปะสีหน้าองค์ปฏิมา

ผิดทำดีค้ำตัวรอด
ก่ายกอดหวังสร้างยศฐา
เรื่องแดงศัตรูเห็นตำตา
จึงมาเหหันเชิดหุ่นแทน

ร้ายหรือดีที่ฉันเจอ

เหวอ ขลุกๆๆๆๆๆ
ร่างของชายหนุ่มกลิ้งกระเด็นกระดอนจากจุดเกิดเหตุไปกว่าสองเมตร
การเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ที่สะดวกสบายดูจะไม่สะดวกกับเขาอีกต่อไป
เพราะบัดนี้ร่างของชายหนุ่มได้หันหน้ามองไปทางเพดานโลกหรือที่คนทั่วไปเรียกว่าฟากฟ้านั้นเอง
ประจวบเหมาะกับเวลาหัวคำราวหนึ่งถึงสองทุ่ม ทำให้หมู่ดาวระยิบพร่างพลายในประกายตาของชายหนุ่ม
!!!
จิตสำนึกของชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่า รถเราลงข้างทาง เมื่อกี้เกี่ยวกับจักรยาน
นี่ไม่ใช่เวลามามองดูดาวที่พร่างพราวเกลื่อนนภาที่งดงาม แต่เป็นเวลาที่ต้องลุกขึ้น
เพื่อตรวจสภาพร่างกายที่ความเจ็บปวดเริ่มไปสะกิดบอกไขสันหลัง
ให้ส่งเมสเสจไปยังไฮโปทารามัส เพื่อเตือนสมองว่า เจ็บเว้ย......
แขนที่แสดงอาการอ่อนล้าเล็กน้อยกับความระบมตรงนิ้วก้อย
ยันร่างกายที่ยังไม่ค่อยแน่ใจในความเจ็บปวดลุกขึ้น

"พี่เป็นอะไรไหม"เสียงสำเนียงปะปนไปด้วยอารมณ์ตกใจของชายหนุ่ม ที่อารมณ์ชิว ปั่นจักรยานชมจันทร์ยามค่ำคืน ที่โดนรถของชายหนุ่มเฉี่ยว กระเด็นกระดอนด้วยกัน เอ่ย"พี่เป็นอะไรไหม" คำถามซ้ำเดิมอีกสี่ห้ารอบเพื่อเรียกสติชายหนุ่มให้จับประเด็นคำถามให้ได้ "พี่เป็นอะไรไหม"

"ไม่เป็นไรครับ"ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงสุภาพ ไม่ได้เกิดจากความลำคาญในคำถามแต่ประการใด
แต่เป็นการตอบเพื่อปลอบประโลมใจของผู้ถามว่า"ไม่เป็นอะไร" (ความจริงเจ็บเท้าตะหงิดๆ)

หลังจากโต้ตอบด้วยคำว่า"พี่เป็นอะไรไหม" "ไม่เป็นอะไรครับ" อยู่หลายรอบ ชายเจ้าของจักรยานตัดบทด้วยคำว่า "งั้นผมไปนะ พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม" "ครับ" ราวกับสายลมวูบหนึ่งผ่านไป ชายปั่นจักรยาน หายไปในความมืดด้วยสปีดที่น่าจะเร็วกว่าเดิม

"ไม่สิ" ห้วงคำนึงของชายหนุ่มเตือนตัวเองว่าต้องไป ตรวจสภาพร่างกาย(มีประกันต้องใช้ให้คุ้ม) เมื่อรวบรวมสติได้ก็พยุง รถขึ้น กำเบรคสต๊าทครั้งที่ 1 2 3 ...... ราวกับได้ยินเสียงอยู่ในจิตว่าไม่มีสัญญาณตอบรับจาหมายเลขที่ท่านเรียก "สต๊าทเท้า" จิตสำนึกสั่งเขาไม่รอช้ารีบปฏิบัติการด้วยความเร็ว ครั้งที่ 1 2 3 .....
เป็นเหมือนเคย" เป็นอะไรว้า........."เขาว้าวุ่นใจอยู่ราวห้าวินาทีครึ่งก็ได้กลิ่นน้ำมันพร้อมก้มดูใต้เครื่อง
"กรรม และเวร" เมื่อเลนซ์แก้วตาปรับสภาพให้เข้ากับความมืด ฉายให้เห็นภาพหยดน้ำที่มีกลิ่นเหมือนน้ำมันหยดลงพื้นพร้อมทั้งคราบน้ำมันที่มีอยู่ก่อนนองเป็นรัศมีประมาณ 15 เซนติเมตร "ไอ้หยาน้ำมันรั่วอีก"เสียงอุทานอัแผ่วเบาออกจากความคิดของเขา

เมื่อรู้ว่ารถสต๊าทไม่ติดก็โทรเรียกน้องที่อยู่ใกล้ที่สุดให้มารับ เพราะคงเข็นรถกลับบ้านไม่ไหว แต่เมื่อเวลาผ่านไปราว 5 นาที เนื่องจากมันรู้สึกนานมากในขณะนั้น และเป็นถนนที่มืดรถวิ่งเร็วเมื่อกี้เราเฉี่ยวจักรยานอีกไม่นานเราอาจโดนเฉี่ยวได้จึง ใช้ความพยายามอีกครั้งกับการสต้าทรถ

"บรืน......."เสียงเครื่องที่ดังบอกความนัยว่าใช้ได้แล้ว ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบ...........
.
.
.
เปิดไฟกระพริบเพื่อให้รู้ว่ามีรถอยู่ข้างทางโปรดระวัง
ราว 5 นาทีต่อมา "นานจริงให้ไปรับที่บ้านดีกว่า"เขาขึ้นควบรถคู่ใจที่ไม่รู้ดีหรือร้ายไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่น้อยลงอย่าไม่ต้องสงสัย

รถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เพียงไม่นานไฟหน้ารถก็ให้เห็นรถท่องราตรีอีกหนึ่งคัน มันไม่มีไฟท้าย เหมือนจักรยานคันแรก แต่ความเร็วที่ไม่มากทำให้เราหักหลบรถคันดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที ประจวบเหมาะกับที่ไม่มีรถตามมาข้างหลังเหมือนกับที่เรา ขี่รถไปเกี่ยวจักรยาน เพราะทางเส้นนี้ไม่ใช่เส้นทางหลัก
จึงคราดแคร้วภยันตราย จากคนขับรถชิวสบายยามค่ำคืนมาได้อย่างหวุดหวิด

มาคิดดูแล้วจะเรียกว่า"ซวย"ก็ไม่แปลกแต่หากชายหนุ่มขี่รถด้วยความเร็วเหมือนตอนที่เกี่ยวกับรถจักรยานหละก็ คงไม่ต้องพูดถึงว่าสถานะการณ์จะเลยร้ายกว่านี้เพียงไร

เมื่อถึงบ้านเพื่อนที่โทรตามก็มารับไปส่งโรงพยาบาล ที่ราคาค่าบริการมันพยาบาทชัดๆ
แต่ไม่เป็นไรมีประกัน (แอบปลื้มเล็กน้อยนึกว่าจะไม่ได้ใช้สิทธิซะแล้ว)

เมื่อเข้ารับการตรวจพบบาทแผลถลอกบริเวณ ขาซ้ายรวมห้าแห่ง
เล็บนิ้วก้อยมือขาวห้อเลือด และแขนล้าเล็กน้อย
บริเวณศรีษะไม่มีการกระแทก ส่วนอื่นปรกติ

เมื่อนึกดูพบว่า เป้ที่สะพายอยู่ด้านหลังที่เพิ่งซื้อมาสัปดาห์ที่แล้ว รับแรงกระแทกขณะที่ชายหนุ่มกระเด็นออกจากรถลงพื้นลาดยาง และค้ำไม่ให้ศรีษะกระแทกพื้น

สรุปว่า"ร้ายหรือดีที่ฉันเจอ"

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

โปมินมิน

เสียงลมพลิ้วแผ่วผ่านใบไม้ต้นหญ้า อุณหภูมิยะเยือกหลั่งมานำพาเอาสายลมที่วิ่งเข้าหาความอบอุ่นเคลื่อนไป พลบค่ำก้าวย่ำเข้าสู่เวลาแห่งนิทรา จันทราปรากฏเด่นพร่างพราวกลบแสงดาวริบหรี่นับหมื่นล้านให้กลืนหายไป ได้เวลาทำงานแล้ว....

อมนุษย์ร่างเล็กเตี้ยค่อม จมูกยาวงองุ้มเล็กน้อย ดวงตาที่แสนโตและลูกในตาสีเหลืองอ่อนจนแทบจะเป็นสีขาว ปากเล็กสีชมพู ใบหูเล็กเท่าหูหนู ผมยุ่งหยิกฟูเหมือนทรงแอฟโล่ สวมชุดที่ทอจากหญ้า สวมรองเท้าที่ทำจากเปลือกหอยและปีกแมลงทับมันระยิบ สะพายตะขอใหญ่และเชือกเส้นยาวม้วนอยู่ที่ด้านหลัง

ดวงตาที่เหลืองจนแทบขาวนี้ใช้ในการตรวจสภาพและวัดแสงของเหล่า ดวงดาว จมูกที่แสนใหญ่โตใช้เพื่อระวังอันตรายจากสิ่งรอบข้าง ใบหูเล็กๆนี้ใช้กลองเสียงที่ระเอียดอ่อนที่แผ้วผ่านทุ่งมา เสื้อที่ทอจากหญ้าใช้เพื่อพรางตัวยามวิกาล รองเท้าที่ทำจากฝาหอยและปีกแมลงทับขัดมันนั้นดูจะเป็นความภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวขอเหล่า โปมินมินก็ว่าได้ เพราะเป็นเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวในตัวของเหล่าโปมินมินเหล่านี้ และที่เหล่าโปมินมินสามารถใช้เปลือกหอยขัดมันได้เพราะ ที่ผ่าเท้าของพวกมันจะมีกาวไหลออกมาจับยึดได้แน่นเหนียวที่สุด เพื่อใช้ในการปะดาวไว้บนฟากฟ้ายามค่ำคืนคืนนี้เป็นคืนจันทร์เสี้ยวพลบค่ำ
ก็ถึงเวลางานแล้วเหล่าโปมินมินจะออกเดินทางไปยังยอดเขา หรือเนินสูงเพื่อง่ายต่อการปีนขึ้นไปบนฟากฟ้า พวกมันไร้ปีก แต่ตะขอใหญ่และเชือกนี่แหละคืออุปกรณ์สำคัญในการไต่นภา มันจะเหวี่ยงตะขอให้ไปเกาะกับส่วนเสี้ยวของพระจันทร์ หลังเกี่ยวจันทร์ได้แล้วก็ปีนขึ้นไปยังดวงจันทร์ ถอดรองเท้าเปลือกหอยซุกเข้าไปในเสื้อหญ้าของมัน และเหวี่ยงตัวตามกระแสลมที่พัดพา เมื่อเท้าไปติดอยู่ที่ใดมันจะควักเอาดวงดาวที่ซุกอยู่ในผมของมันออกมาติดไว้ และเก็บเอาดาวดวงเก่าที่ไม่ค่อยจรัสแสงซุกเข้าไปในเสื้อหญ้าของมัน ยิ่งราตรีกาลสงัดเท่าไหร่เราจะเห็นดวงดาวสกาวพราวพร่างมากเท่านั้น และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมดาวยามราตรีป่าเขาถึงมากมายกว่ากลุ่มดาวในเมืองใหญ่ ยิ่งใกล้วันเดือนเพ็ญเท่าไหร่ที่เกาะเกี่ยวก็ยิ่งน้อยลงทำให้การประดับดาวนั้นยากขึ้นเราจึงเห็นดาวในวันที่ยิ่งใกล้เดือนเพ็ญนั้นมีน้อยเหลือเกิน

เมื่อเดือนเพ็ญเต็มที่ ก็จะมีเทศกาลใหญ่ของเหล่าโปมินมิน เรียกว่า “เทศกาลตากดาว” เมื่อแสงจันทร์เต็มดวงเต็มที่แล้วจะทำให้ดาวที่โปมินมิน เก็บมาตากนั้นดูดเอาแสงจันทร์ได้อย่างเต็มที่จึงกลายเป็นเทศกาลตากดาววันพักที่แสนสนุกสนาน ส่วนในคืนเดือนแรมนั้นก็เป็นวันหยุดพักของเหล่า โปมินมินเพราะจะไม่มีแสงจันทร์มาบดบังแสงดาวที่ติดไว้คืนก่อนหน้านี้....นี่คือเรื่องราวของเหล่าโปมินมิน

แต่หน้าเศร้าด้วยจมูกอันโตของมันทำให้มลพิษเข้าไปในร่างกายมากเหล่าโปมินมิน จึงต้องอพยพย้ายถิ่นหลีกหนีความวุ่นวายที่เหล่ามนุษย์ได้สร้างขึ้น ภูเขาและเนินสูงต่างๆถูกขุดเจาะทำลาย มลภาวะมากมายทำให้กระแสลมแปรปรวน ดาวถูกแสงและกลุ่มควันของเมืองใหญ่ปกคลุม จิตใจอันกระด้างของมนุษย์พร้อมจะจับและทำลายสิ่งที่ ตนเองว่าไม่มีเหตุผล ทำให้โปมินมินต้องอยู่อย่างยากแค้นมากขึ้น คงไม่ต้องตั้งคำถามที่ถามซ้ำๆและเราได้ยินจนชินหูว่า “ทำไมในเมืองใหญ่ถึงไม่มีดาว”

2008-08-15 12:42:34/TheGo...

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หนังสือ



หนังสือมีอยู่หลายเล่ม

มีบางเล่มที่อยู่ใกล้ตัวเรา

แต่เรากลับไม่ค่อยจะพลิกอ่านมัน

มันคือหนังสือชีวิตที่เราได้เขียน

ขีดลบเพิ่มเติมเรื่องราวเอาไว้

ลองพลิกกลับไปดูว่า

เราเคยเจอเรื่องเลวร้ายมามากแค่ไหน

แล้ววันนั้นเราผ่านมันมาได้ยังไง

ปัญหาที่เราเจอคือบทเรียนบทใหม่

ที่เราจะเขียนข้อความว่าเราสู้ผ่านไปได้

หรือเขียนว่าเราจมลึกลงกับมันจนว่ายไปไม่ไหว

พรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็ขึ้นและเวลาที่มืดและเงียบที่สุด

ก็ใกล้เวลาของพระอาทิตย์วันใหม่จะโผล่ขึ้นมา
ให้ดอกไม้ตื่นนอน ต้นไม่ทิ้งนิทรา สู่สว่างฟ้าเช้าวันใหม่

ภาพ






สิ่งที่สายตามองเห็นอาจไม่ลึกซึ้งเท่าสิ่งที่หูได้ยินใจได้สัมผัส เราอาจจะมองเห็นความสวยงามของธรรมชาติแต่ไม่รู้ถึงความในที่อยู่ในสายน้ำตกแห่งนี้ สารปนเปื้อน เสียงใคร่ครวญ เด็กพิการ ล้วนเริ่มจากภาพที่ดูสวยงามนี้ ยังมีอีกหลายภาพที่ได้รางวัล ภาพเหล่านั้นปะปนเอาความเจ็บปวด ความสุข ความเศร้า การดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ใครจะรู้ ขณะที่คนนับหมื่นแสนชื่นชม แต่คนที่อยู่ในรูปกลับไม่มีโอกาสได้รับรู้และเข้าใจด้วยซ้ำว่า มันมีค่ามากมายแค่ไหน เหมือนกับเราที่อย่ามองแต่มุมเดียว โลกนี้เป็นสามมิติ เราก็ควรมองทุกด้านเพื่อที่จะไม่ละใครไว้ด้านหลัง ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งอย่ามองเพียงผิวเผิน แล้วปล่อยให้เป็นเพียงลมที่ผ่านมา

ภาพงดงามอาจซ่อนความมากมาย

ล้วนหลากหลายแง่มุมในรูปนั้น

เพียงลองมองในมุมที่กลับกัน

จะเห็นมันคุณค่าที่แท้จริง

เดียวดาย

คนหนึ่งคนใช่อยู่เพียงเดียวดาย
รอบข้างกายรักกอดอยู่เสมอ
ทั้งพ่อแม่เพื่อนพ้องพี่น้องเธอ
อย่าได้เผลอเศร้าใจทำลายตัว

ลูกสน

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ถอดรองเท้าแล้วก้าวไปบนผืนทรายอย่างช้าๆ
ซึมซับอุณหภูมิที่แผ่ผ่านอณูดินเม็ดต่อเม็ดสู่ฝ่าเท้าแต่ละย่าง
เสียงของละลอกคลื่นตีขึ้นฝั่งกระทบดินแตกกระจายเป็นฟองนับหมื่นแสนซึมซาบสู่ผิวดินละลอกแล้วละลอกเล่า
สายลมเอื่อยที่พัดพาเอาฝุ่นทราย และกลิ่นเกลือเข้ามาจับผิวกาย
วูบของลมอุ่นที่พาให้ เส้นใบสนล่วงหล่นลงมาเกาะที่เส้นผม

โอ้ย เสียงอุทานที่เกิดจากการเดินทางของความเจ็บปวดที่มาจากฝ่าเท้าแล่นเข้าสู่สมองแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่ยกเท้าขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
สายตาแลมองไปที่ต้นเหตุของปัญหา มันคือ ลูกสนเม็ดหนึ่งในล้านเม็ดที่เผลอเหยียบโดน
แต่เสียงอุทานนั้นกลับถูกกลืนไปกับเสียงคลื่นโดยไร้การโต้ตอบ
เวลานั้นเองเหมือนกับว่าหัวใจหยุดเต้นชะงักไปจังหวะหนึ่งก่อนเข้าสู่ภาวะปรกติ
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเล็กน้อย

มอบ

การมอบเวลาให้กับคนบางคนอาจจะไม่ได้สิ่งใดกลับมา
การมอบเวลาให้คนบางคนอาจทำให้เราต้องเจ็บปวด
การมอบเวลาให้กับคนบางคนอาจทำให้มีความสุขอย่างสุดแสน
การมอบเวลาให้กับคนบางคนอาจทำให้เราเหมือนเป็นคนโง่
การมอบเวลาให้กับคนบางคนอาจทำให้คนอื่นอิจฉา
การมอบเวลาให้คนอื่นอาจเจอเรื่องราวต่างๆมากมาย
แต่การมอบให้ด้วยความรักนั้นคือการไม่หวังสิ่งใจกลับมาเลยเลือกให้ถูก
แต่สุดท้ายอย่าเลือกที่จะมอบเวลาให้กับความผิดหวังเพราะจะทำลายเรา
เลือกที่จะมอบเวลาให้กับความผิดหวังมาให้พ่อแม่ และคนที่รักเราดีกว่าไหม

ประหารชีวิต

ตายดีกว่าตูนี้มิอยากอยู่
ลองคิดดูอยู่ไปหนักพระเศียร
เกียรตินิยมมิได้อย่างพากเพียร
จึงขอเปลี่ยนเป็นหน้าหนึ่งไทยรัฐแทน

เจ็บเหลือที่อกนี้ใจแทบขาด
เธอตัดขาดรักนี้ที่สุดแสน
เจ็บครั้งนี้จำไว้ด้วยแรงแค้น
บูชาแทนรักนี้ด้วยความตาย

เข้าไม่ได้ทำไมเพราะอะไร
มั่นตั้งใจอ่านเขียนมิเคยสาย
ทำทั้งหมดด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย
สุดเสียดายเอนท์ไม่ติดตายเถิดเรา

15/7/51

108 กลอน

สบตาบาดลึกถึงหัวอก
อยากชกกำแพงผาพนัง
โอ้เธอกินไรน่ารักจัง
อยากขังเธอไว้ในใจจริง


คิดถึงตัวเธอที่อยู่ไกล
ด้วยภายในใจอยากรู้นัก
ว่าเธอร้ายดีขอประจักษ์
จะส่งรักไปประโลมข้างเคียงเธอ

คนน่ารักทำไมไม่ยักตอบ
หรือคำตอบไม่มีให้คนเหงา
ขอคำเดียวรดหัวใจที่ซึมเซา
ช่วยบรรเทาเสริมใจนี้เถิดเธอ

เลอะเทอะเปรอะรักซักไม่ออก
เพราะโดนเธอหลอกซ้ำรอยแผล
เล่นเดินผ่านกันทำไม่แคร์
โอ้ใจเจ็บแย่ร้าวระบม
8/5/51

แต่งขำขำเพื่อย้ำความคิดถึง
ใครคนหนึ่งหัวใจแสวงหา
ว่าคงเดินเคียงกันวันข้างหน้า
เพียงเม้นมาให้ใจได้ชื่นบาน

น่ารักเหลือทนคนอะไร
ทำไมสะกดใจอย่างนี้
จดจำติดตาทุกนาที
ขอทีอย่าน่ารักเกินไป

ใจร้องรวดร้าวรู้ระทม
ด้วยตรมขมจิตพิสมัย
โอ้เธอแรกรักว่าจริงใจ
แล้วใยล้างรักง่ายดาย
2-7-51

ชีวิตคนนั้นต้องเจอทั้งทุกโศก
ทั้งไข้โรคหลากหลายมากมายแสน
แล้วจะเกิดมาพบความข้นแค้น
เสียดายแทนแล้วอยู่เพื่ออะไร

อยู่เพื่อใครสิ่งใดหาคำตอบ
หรือคือสอบบทเรียนให้แก้ไข
แล้วเกิดมาอยู่ไปเพื่อใคร
ตอบได้ไหมใคร่รู้กู่บอกที

คำตอบนั้นคงอยู่มานานแล้ว
เป้าหมายเจ้ามีกำหนดทางวิถี
เกิดมาเพื่อเดินตามผู้แสนดี
พระเจ้านี้จะนำเราสู่ความจริง
10/7/51

เติมรักวันละนิดต่อละน้อย
แล้วค่อยค่อยส่งต่อความคิดฝัน
รอกระทั่งประสานใจเดียวกัน
จูงมือกันทำฝันของฉันเธอ


เหตุไฉนใยสวยเหมือนโกหก
ทำตลกหน้าตาแสนจิ้มลิ้ม
แค่ปลายตาก็สะกดดั่งศรทิ้ม
จึงขอพิมพ์มาบอกใช่หยอกเอิน
15/7/51

เมื่อตรองดูโอชีวิตช่างแสนสั้น
วันต่อวันผันผ่านใครคิดถึง
วันสู่ปีชราเพิ่งคำนึง
แล้วก่อนถึงวันตายทำอะไร

ก่อนมืดมิดอับแสงในนที
ขอเพียงมีแสงหนึ่งส่องให้เห็น
เพื่อบอกทางสะท้อนเมื่อลำเค็ญ
ถึงยากเย็นไม่หวั่นตามมุ่งหน้าไป

เป็นไทยแท้ใยมิทราบรู้ภาษา
แต่ก่อนมาชาติไทยจรัสแสง
แต่บัดนี้ชาติหมดสิ้นเรี่ยวแรง
เพราะแขนงไทยนั้นมิรักษ์ไทย


รักแล้วจงรักมากฟื้น
ดั่งฟืนหนุนต่อทอแสง
เมื่อใครคนหนึ่งหมดแรง
เติมแสงเคียงข้างมิห่างกัน
21/7/51

เปลี่ยนแปลงไปร่างกายหายั่งยืน
ไม่กี่ตื่นวันคืนร่วงเลยผัน
แต่ถ้าใจเรามีกันและกัน
อายุนั้นเป็นเพียงเลขคำนวณ
24/7/51

เพียงรู้เห็นเป็นเธอก็ใจแป้ว
ดั่งลมแผ่วสั่นระริกที่ติ่งหู
ถ้าไม่เชื่อเชิญเธอเข้ามาดู
ให้เธอรู้ในใจมีแต่เธอ

อยากจะบินไปตามกระแสลม
อยากจะชมแสงจันทร์อันผุดผ่อง
แสงอาทิตย์ทอแสงประกายทอง
อยากจะมองแลจดจำแต่ภาพเธอ

หวานที่พบหาใช่จากภายนอก
แต่มันออกมาจากในใจฉัน
ซึ่งหวังว่าจะพบเจอเข้าซักวัน
คนในฝันเธอนั้นมีอยู่จริง

ขอขอบคุณในไมตรีที่มีให้
ออกจากใจถึงใครที่ตอบฉัน
หวังว่าคงช่วยเพิ่มเติมสัมพันธ์
กันและกันเพื่อนกันตลอดไป
เรียงถ้อยคำเขียนตามหัวใจสั่ง
เป็นพลังขับเคลื่อนเปื้อนคำหวาน
แปะอักษรเรียงต่อเข้าประสาน
ให้ผู้ผ่านอ่านคำย้ำชื่นใจ
29/07/51

การเวลาเปลี่ยนตนคนเปลี่ยนแปลง
บ้างร้อนแรงแลเศร้าเอาไงหรอ
แต่จำไว้แสงอาทิตย์ยังมีพอ
สาดแสงทอกระทบกายทุกคน

บางทีความเศร้าอาจไม่ช่วยให้เรายืนขึ้นได้เลย
แต่การก้าวผ่านความเศร้านั่นแหละคือพลังที่แท้จริง

โอ้ฝูงนกฝูงไก่และฝูงปลา
โอ้ฝูงม้าฝูงลิงชะนีค่าง
โอ้ฝูงเป็ดแมวน้อยร้องอ้อนคราง
โลกสรรค์สร้างให้เราได้มองดู

โอ้มนุษย์คนหนอช่างโง่เขลา
ปัญญาเบาสตินิ้มเสียจริงหนา
พูดเล่นลิ้นโกหกไม่รู้ค่า
เพื่อรักษาตัวรอดแต่คนเดียว
31/7/51

อย่าทำตัวดังดอกไม่ริมทางธาร
อะไรผ่านแผ้วพานชมเชยง่าย
จงรักษาของล้ำค่าของร่างกาย
มิให้ชายสามานมาผลาญไป
6/8/51

กี่หมื่นแปดความรู้ความเข้าใจ
กี่ร้อยใครผันผ่านเดินเข้ามา
ฉันแค่เพียงคนหนึ่งเคยสบตา
หามีค่าได้เธอมาคู่ครอง
12/8/51

อธิบายความรักได้ร้อยแปด
ดังสีแสดแผดทรวงดวงใจฉัน
หรือจะเทียบกับฟ้านภาวัน
แต่ใจนั้นกับไร้คนคู่ครอง

ดุจธารน้ำธารากระแสเชี่ยว
ดุจทางเลี้ยวลดลัดอันขุ่นหมอง
ดุจกระดี่ได้ฝนแอ่งน้ำนอง
แต่เสียงร้องจากใจว่าไม่มี

ดุจลมเป่าพัดมาพายะเยือก
ประดุจเหยือกเติมน้ำตามวิถี
เปรียบกับเสียงแผ่วเบาในกวี
อยากจะมีใครซักคนมาคู่เรา
13/8/51