วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หนาวจัง

หนาวเพียงหรือสู้หนาวหัวใจ
มองข้างในไร้คนดลใจฉัน
คงต้องอยู่เดียวดายใต้เงาจันทร์
และรอวันที่ฉันจะพบเธอ

จะเดือนปีผันผ่านกาลเวลา
จะชิวหาคำนึงถึงเสมอ
แม้ตอนนี้หาได้ใกล้พบเจอ
แต่เชื่อเธอคนนั้นต้องมีจริง

แม้วันนี้อาจคงยังไม่ใช่
แต่มั่นไว้ใฝ่รอแม่ยอดหญิง
รอจะพบรักแท้เต็มขวัญมิ่ง
ด้วยประวิงหัวใจให้รอคอย

จักต้องข้ามคิมหันท์ผ่านให้พ้น
แม้ใจคนหวั่นไหวหากมิถอย
แล้วริเริ่มเติมเต็มทีละน้อย
จะรอคอยคู่แท้ที่เป็นเธอ

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พระจันทร์ยิ้ม

“ช่วงนี้ไม่ค่อยดีเลยเจอแต่เรื่องหนะ เหมือนมีแต่เรื่องเข้ามาหาตัวอุบัติเหตุเล็กน้อยเกิดอยู่เรื่อย”นี่คือบทสนทนากับเพื่อนคนหนึ่งหลังจากโทรไปบอกว่า ได้เห็นพระจันทร์ยิ้มหรือยัง และก่อนหน้านี้ “เนี่ยสุ่ยหนะ เพิ่งไปเข้าพิธีนอนในโรงศพ สะเดาะเคราะห์มาเอง เห็นว่าดวงไม่ดีขับรถไปเฉี่ยวมา”เป็นคำบอกเล่าของคุณยายหลังชวนคุณยายไปดู พระจันทร์ยิ้มที่หน้าบ้าน สองคนนี้เป็นเพื่อนวัยเดียวกันกับผม ผมไม่ส่ใจเรื่องโชคชะตาพวกนี้นะครับ แต่ผมก็ใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ ในเมื่อวันพุธที่ผ่านมา จำได้อย่างสนิทใจว่า เรามีโอกาสได้พบกับจูบแรกหรือที่ฝรั่งเรียก “เฟิร์สคิสส์” กับเขาเสียที แต่มันกลับทำให้รู้สึกกลัว ผวา เมื่อมันเกิดขึ้น ราวกับเราวูบหลับไปเพียงชั่วเสี้ยววินาที มันไม่ได้ให้ความรู้สึกเสียวซ่าน แต่มันกลับเกิดแรงกระทบ น้ำตาที่ล้นเอ่อ ความรู้สึกผิดที่ประดังเข้ามา สายตาของคนที่รับจูบแรกจากผม และสายตาจากคนรอบข้าง มันทำให้ผมประหม่า ทำอะไรไม่ถูก เพราะจูบแรกของผม ไม่ได้มอบให้กับผู้หญิง แต่กลับเป็นผู้ชาย หลังจากเขารับรอยจูบอันตราตรึงของผมเข้าไปแล้ว สีหน้าของผู้ถูกประทับตรา ก็สุดแสนจะตกใจ เอามือรูปครำที่หน้าอก ราวกลับว่าหัวใจของเขาเต้นผิดจากจังหวะเดิมที่เป้นอยู่ ราวกลับเลือดคลั่งที่จุกอยู่ บริเวณอกของชายผู้นั้น เขาค้อมตัวลง มือยังคงครำอยู่ที่หน้าอก ใจขอผมเต้นระรัว ทำอะไรแทบไม่ถูก คำถามเดิมวิ่งวนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมเรื่องอย่างนี้ถึงเกิดขึ้นกับผม น้ำตาร่วงหยดผ่านขอบตาใบหน้าทิ้งน้ำหนักลงสู่ผิวโลก พลันคำหนึ่งก็หลุดออกมาจากปาก “ผมผิดเองครับ” “ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง พี่ไม่ต้องห่วงเลย ผมจะจัดการทุกอย่างให้” ราวกลับว่าภูเขาที่ถาโถมอยู่ในอกเราทั้งคู่ ได้ถูกพลังอันยิ่งใหญ่สลายมันออกไปหมด “เดี๋ยวผมขอติดต่อทางบ้านก่อนให้เขารับรู้ เรื่องระหว่างเรา” ก่อนหน้าที่ผมจะอายุยี่สิบห้า หรือที่เรียกกันว่า “วัยเบญจเพส” ผมได้ประสบอุบัติเหตุครั้งหนึ่งคือ รถจักรยานยนตร์ผสานงานกับจักรยาน พลิกคว่ำพลิกหงายมาหนึ่งครั้ง และเมื่อต้นเดือนราคายางพาราตกอย่างรวดเร็ว ราวกับแรงโน้มถ่วงโลกดึงมันลงมา ราคาลดลงจนเหลือเพียงหนึ่งในสามของราคาเดิมเมื่อต้นเดือน สภาวะการเงินในบ้านหยุดชะงัก คนงานลากลับบ้าน คนรับจ้างตัดยางออก คนใหม่เข้ามาแทนที่ แต่แทนที่จะตัดยางกลับเลือกที่จะขโมย สายไฟในสวน วาวล์รดน้ำต้นไม้โดยการทุบท่อทิ้ง เบิกของที่ร้านขายของ และหนี ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่คนแล้วคนเล่าที่เข้ามากลับ เบิกของแล้วหนี เงินที่ไม่มีอยู่แล้วยิ่งร่อยหรอลง ผมต้องเข้าไปทำงานในส่วนที่คนงานออกไป ตากแดด ตากลม ทำงานตั้งแต่เช้า จนฟ้าเกือบมืด ภาระที่เพิ่มมากขึ้นกับร่างกายและจิตใจที่เริ่มท้อถอย วันพุธที่เกิดเหตุผม ตื่นตั้งแต่ตีสี่กว่าจะตีห้า เพื่อออกเดินทางข้ามจังหวัดไปยังจังหวัดจันทบุรี เพื่อไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งจริงๆแล้วเขาอายุห่างจากผมเกือบสิบปี (แต่ก็เรียนห้องเดียวกันจะให้เรียกพี่ร่วมห้องก็กลัวว่าจะงงกันเลยเรียกเพื่อนร่วมห้องดีกว่า) ก่อนออกจากบ้านผมได้ติดต่อไปที่บ้านว่าจะรีบกลับราวเที่ยงถึงบ่ายโมงก็ถึงบ้าน การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ผมอยู่ร่วมงานนานเกินไป แต่ก็ต้องเข้าใจคนหนึ่งคนใช่จะแต่งงานได้บ่อยๆ ผมจึงอยู่รอส่งเขาซึ่งก็เสร็จงานราวบ่ายโมง ผมแวะไปเยี่ยมเพื่อนแถวนั้นและรีบเดินทางกลับ และมันก็เริ่มต้นขึ้น การขับขี่ไปอย่างปรกติจนถึงแยกไฟแดง สิ่งสุดท้ายที่ผมนึกออกคือไฟแดง..............................................
.
.
..
ตูม เสียงแห่งความซาบซึ้ง เสียงอันตราตรึง ของการฝากรอยจูบครั้งแรกของผมไปที่ท้ายรถคันข้างหน้า
จะไม่ให้ตกใจอึดอัดได้อย่างไรในเมื่อรถไม่มีประกัน และเงินที่บ้านก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว พี่ที่ลงจากรถเอามือกุมหน้าอกเดินเข้ามาด้วยอารมณ์ไม่ต่างกัน
เป็นอย่างที่รู้ข้างต้นผมรับผิดชอบทุกอย่าง ดีนะที่พี่เขาเป็นคนระยองเหมือนกันเลยสะดวกในการซ่อม ติดต่อ และไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ผมรู้สึกขอบคุณที่ คนทั้งคู่ไม่ได้รับบาดเจ็บ พี่ที่เรียนด้วยกันกับผมมีอู่อยู่ในตัวเมือง
แม้ราคาจะสูงจนน่าตกใจ แต่คนกลับปลอดภัย (ท้ายรถที่ถูกชนเป็นรถที่ใช้แก๊ส)
หลังจากจัดการเรียบร้อยเรื่องราวก็ผ่านไป ผมพยายามตั้งหน้าตั้งตาทำงามเพื่อชดเชยความผิดพลาดที่เกิด เพราะเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว

วันนี้ผมก็ทำงานอีกเช่นเคย เช้าจรดเย็น ฟ้ามืดสนิท ผมเดินด้วยร่างกายที่เหนื่อยอ่อนด้วยความเพลีย เพื่อไปชำระล้างกายเมื่องานเสร็จ ก้าวอย่างระโหย พาตัวไปยังหน้าบ้านเพื่อเข้าบ้าน สายตาที่อิดโรยเหลือบไปพบกับฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด แต่ยิ่งทำให้รอยยิ้มที่ทรงพลังปรากฏชัดขึ้นในดวงตา ความเหน็ดเหนื่อย ปัญหา เรื่องราวทุกข์ใจมากมายที่พบเจอ เหมือนได้รับพลังจากรอยยิ้มรอยนี้..............
คุณเคยรู้สึกเหมือนผมไหมว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อชดใช้สิ่งที่เราคนอื่นทำผิดมาก่อน ถ้าต้องรับผิดชอบกับการกระทำของเราที่ไม่ใช่เราผมก็ไม่รู้จะเกิดมาทำไม แต่ผมเชื่อว่า ผมได้เกิดมาเพื่อเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง และเพื่อคนมากมายที่อยู่รายล้อมรอบกายผม ผมไม่ได้อยู่ลำพังคนเดียว ในขณะเวลานี้ที่บ้านเมืองนามว่าประเทศไทย เกิดปัญหามากมาย ไม่ว่าจะภายนอก หรือภายใน คนอยู่อย่างยากลำบากขึ้น การทะเลาะเบาะแว้งกระจายอำนาจทั่วทุกทิศมากขึ้น แต่ว่าธรรมชาติก็ยังคงอยู่ข้างเรา มีฝนตก แดดออก ลม อากาศให้เราหายใจ มีสีเขียวให้เราผ่อนคลาย และในวันนี้ พระจันทร์ตัวแทนของฟากฟ้าก็ยังหันมาสบตายิ้มให้ผม คุณ คนไทยทุกคน ที่ยังรู้จักที่จะมองรอบข้าง นี่คือความเท่าเทียมที่ไม่เคยลำเอียง นี่คือธรรมชาติ หรือที่ผมเรียกว่าสิ่งทรงของพระเจ้า