วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อาณาจักรกระจกไร้เงา

กาลครั้งหนึ่งนานแสนนามาแล้ว
มีอาณาจักรที่เต็มไปด้วยแสงสีแห่งหนึ่ง
มีชื่อว่า อาณาจักรกระจกไร้เงา ด้วยว่าอาณาจักรแห่งนี้ต้องสาป
ยังผลให้ แม้ว่าดินแดนนี้เต็มไปด้วยกระจก และของมันเงาหลากหลาย
กลับไร้ซึ่งเงาสะท้อนของสิ่งต่าง ไร้ซึ่งเงาแห่งรูปลักษณ์
จึงทำให้ผู้คนในดิแดนแห่งนี้ไม่อาจรู้จักใบหน้าของตนเองได้เลย
ต้องให้คนอื่นเป็นผู้ตัดสิน ความงามและความสวยหล่อของตนเองแต่เพียงเท่านั้น
และผู้ที่ตัดสินความงามตระการได้มากที่สุดคือ
คณะผู้ปกครองความงามสูงสุดทั้งหก
ซึ่งจะออกประกาศความงามทุกรอบปี
และมี"ผู้ควบคุมความงาม"คอยตัดสิน ซึ่งเป็นคนจากคณะความงามส่งมาประจำแต่ละเมือง
คนในอาณาจักรจะรู้จักความงามที่แท้จริงก็ผ่านการตัดสินของ"ผู้ควบคุมความงาม"เท่านั้น
จึงไม่มีใครรู้จักตัวเองได้นอกจากคำตัดสินของคนเหล่านี้เท่านั้น
ซึ่งในอดีตกาล
ดินแดนแห่งนี้เป็นอาณาจักรที่เต็มไปด้วยความงามเนื่องจากมีกระจกอยู่ทุกที่
แต่เพราะคนลุ่มหลงมัวเมาในเรื่องความสวยงามเท่านั้นเป็นเหตุให้เกิดการแบ่งชนชั้น
และการทารุนผู้ที่อ่อนแอ และไร้ความงาม
เกิดการปฏิบัติอย่างอยุติธรรมในอาณาจักรจึงทำให้
ความรัก ความหวัง ความเชื่อ หายไปจากดินแดนแห่งนี้ในที่สุด อาณาจักรจึงต้องสาปมาจนทุกวันนี้
"โดอีท"เด็กชายในตระกูลขี้เหร่ ไม่เคยรู้สึกด้อยค่าในความขี้เหร่ของเขาเลย
ทั้งๆที่ความขี้เหร่เป็นความต่ำต้อยอย่างหนึ่งในสังคม
เนื่องจากในรอบสามปีจะมีหกตระกูลที่ถูกตราว่าเป็นตระกูลที่ขี้เหร่ที่สุด
และตระกูลของเขาดูเหมือนจะได้ฐานะนี้มานานหลายชั่วอายุแล้ว
แต่"โดอีท"ไม่เคยกังวลกับ ความขี้เหร่กับเป็นสิ่งที่มอบการผจญภัยอันท้าทายให้เขาเสมอ
เพราะไม่ว่าเขาจะไปที่แห่งใดก็ไม่มีใครมาหวงห้ามเขา
เพราะคนขี้เหร่เป็นฐานะที่ไม่มีคนคิดจะเกี่ยวข้อง
เหมือนกับว่าจะติดต่อกันได้ซะอย่างงั้น
เลยทำให้"โดอีท"ได้อิสระมากมายอยู่ในเมืองแห่งนี้
ไม่ต้องถูกควบคุมโดย"เจ้าหน้าที่ความงาม"เรื่องกริยาท่าทาง
หรือจิปาทะที่เกี่ยวกับความงาม
ไม่ต้องรักษาอะไรเพราะไม่มีอะไรให้รักษาอีกแล้ว

เกิดแบ่งปัน

วันเกิดเอยเคยเกิดตั้งครั้งหนึ่
ครบรอบถึงอีกปีมีสุขสรรค์
แต่อย่าลืมเป็นคนดีก็แล้วกัน
วันสุขนั้นแบ่งปันความสุขเอย

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รู้บ้างไหม

รู้บ้างไหมว่ามีใครแอบคิดถึง
ณ ที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้
คือข้างข้างหัวใจเธอคนดี
ช่วยมองทีอยากส่งรักให้ถึงจัง

ดอกฟ้า

อาจหาญมองดอกฟ้าธิดาเ่ด่น
คงเป็นเช่นภาพฝันวาดด้วยสี
เพียงหยดน้ำสาดพรมไม่เหลือดี
เห็นเพียงสีปะปนคนเศร้าเอย

เงาราง

หลับเล่นเห็นภาพฝันดังฝุ่นจาง
ลางลางดังหมอกพรางมองไม่เห็น
เพราะรอคอยคู่แท้คือประเด็น
แสนลำเค็ญเนิ่นนานเท่าไหร่เจอ

เทียนไข

ต่อทุนสุดเกื้อหนุนหัวใจ
เทียนไขเร้าร้อนใจคงหมด
จงอย่าเร่งร้องรักดังประชด
แต่จงทดถ้อยทีค่อยเวลา

เล่นเสียงแว่ว

เอ้อละเหยลอยเล่น เต้นหัวใจ
คอยลำเลียงเคียงใกล้ ให้ใจแผ่ว
เป็นเสียงหวานปานน้ำตาล เชื่อมแล้ว
ลำนำแซวร้องเต้นเพลงรัก จักกังวาล (เอย)

พอเพียง

พอเพียงกับหัวใจเพียงพอ
คอยรอเพียงแต่ใจโหยหา
จะอยู่แม้สิ้นสูญเวลา
ศรัทธาคงพาเราพบเจอ


sunlight

ทอดทอแสงแห่งแรกรุ่งอรุณ
กลิ่นหอมกรุ่นไอแดดแสดแผดเผา
สายตะวันส่องนำทางสองเรา
ด้วยนำเอาความรักนำก้าวเดิน

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รัก

ทอดถอนในในวันที่เปลี่ยวดาย
เปลือกตาครี่ออก มองเห็นเพดานสีขาวในความอ้างว้างของคนคนหนึ่ง
เสียงนาฬิกาดังเตือนเวลา เจ็ดโมงเช้า
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องกระทบผนัง พยามยามรอดเข้ามาในห้อง
เพื่อสะท้อนเตือนให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะหยุดนอนอยู่บนเตียงแล้ว
"วันนี้วันหยุด"
ชายหนุ่มคิดในใจ
มือที่วางอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ตอนนี้ได้เคลื่อนตัวมาบริเวณใบหน้า
ท่อนแขนทาบอยู่บนหน้าผาก
"วันนี้วันหยุด"
ชายหนุ่มมองเพดานสีขาวแล้วคิดกับตัวเอง
เขาจำได้ว่าความรู้สึกเหงาแบบนี้เคยกดทับเขาแล้วหลายครั้ง
บางครั้งทำให้เขาน้ำตานองหน้าอย่างไม่รู้ตัว
"วันนี้วันหยุด"
เขาไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นอีกวันหรือเปล่าที่เขาอยากจะอยู่เฉยๆ
ไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่าการอ่านหนังสือ ดูทีวี ฟังเพลง
อยู่คนเดียวกับวันหยุดเพียงพัง
ไม่มีเรื่องราวใดๆ มาผลักดันให้เขาต้องทำตัวเองให้กลายเป็นเฟืองตัวหนึ่งในสังคม
ที่หมุนไปเรื่อยๆ เหมือนทุกวัน ต้องคิด ต้องทำ ต้องแข่งขัน กับเวลาที่มีอยู่จำกัด
"วันนี้วันหยุด"
แต่มันก็คงดีกว่าการนอนที่นอกจากจะเผาผลาญพลังงานในการฟุ้งซ่าน
และยังผลาญเวลาที่มีอยู่จำกัดนี้ให้หายไปในท่วงทำนองของวินาที
ที่เข็มนาฬิกาวิ่งเป็นจังหวะเพื่อเตือนอยู่บนหัวเตียง
"วันนี้วันหยุด"
ชายหนุ่มใช้เวลาจมอยู่กับความคิดที่วนเวียนอยู่กว่าชั่วโมงแล้ว
เขาไม่อยากลุก มาและ ทำเหมือนเดิมเหมือนทุกวันที่ผ่านมาอีก
กิน อาบน้ำ นั่งเหม่อ ดูทีวี
เขาคิด
เพราะอีกฟากหนึ่งของแผ่นดิน อีกประเทศหนึ่งซึ่งเขาเคยเห็นแต่ในทีวี
ยังคงขาดแคลนสิ่งที่เขาเผาผลาญไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างนี้
"อยู่คนเดียว อยู่ลำพังหว่าเหว้......" เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบและกดรับ
"สวัสดีครับแม่"ชายหนุ่มตอบด้วยความเคยชินเพราะเบอร์นี้จำได้ขึ้นใจ
"แกยังไม่ตื่นอีกเหรอ"เสียงในโทรศัพท์ พูดเหมือนจะรู้ว่าตอนนี้เขายังไม่ลุกออกจากเตียง
"มีไรป่าวแม่"ชายหนุ่มถามเพื่อเบี่ยงประเด็นที่จะตอบว่าตัวเองยังไม่ลุกจากที่นอน
".................."เสียงในสายเงียบไปซักพัก
"ลุงนนท์ เสียแล้ว แกกลับบ้านได้ไหม"
เสียงที่ปนคราบน้ำตา และความกดดัน ดังมาอีกหลายละลอก
การสนทนาด้วยความสับสนก้ำกึ่งดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ
ตอนนี้เขาตอบแม่ไปอย่างสั้นๆว่า
"ผมจะโทรไปลางานแ้ล้วรีบกลับบ้านนะแม่"
"แม่ดูแลตัวเองนะ"คำพูดสุท้ายก่อนเขาวางสายคือความเป็นห่วงที่มีอยู่ลึกๆข้างใน
ชายหนุ่มคิดถึง"ลุงนนท์"ผู้ล่วงลับ
ลุงนนท์ คือชายในฝันของเขาเมื่อยามเด็กและในปัจจุบันก็ยังคงมีอิทธิพลต่อชีวิตเขา
เป็นคนที่มักจะยิ้มอยู่เสมอ เป็นพี่ชายของแม่เขา อายุห่างจากแม่ราวสองปี
ไม่ใช่คนที่รวย หรือมีฐานะ เป็นเพียงชาวสวนนักพัฒนาคนหนึ่งแต่ที่อยู่ในหมู่บ้าน
คอยช่วยเหลือให้คำปรึกษากับคนจน เขาเคยเป็นคนที่มีรายได้มากมายในการเป็นทนาย
แต่ก็เลิกอาชีพทนาย กลับมาทำสวนทำไร่ เลี้ยงสัตว์ และเป็นที่ปรึกษาให้กับชาวบ้าน
เป็นคนที่มีเป้าหมายอยู่เสมอ มีแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง และมักจะคอยดูแลครอบครัวของชายหนุ่ม
ให้คำปรึกษาดีดี ตอนเขายังเด็ก คอยปรอบเมื่อเขาร้องให้
และเล่าเรื่องต่างต่างมากมายให้เขาฟัง
และยังมักแบ่งปันผลไม้ และอะไรหลายอย่างให้บ้านเขา ทั้งที่เมื่อเทียบฐานะกันแล้ว
ครอบครัวของชายหนุ่มกลับมีฐานะมากกว่า "ลุงนนท์"ของเขาซะอีก
นี่เป็นเหตุให้พ่อของชายหนุ่มดูถูกในการกระทำว่า"แปลกอยู่ดีไม่ชอบชอบลำบาก"
เขามานึกถึอายุของลุงนนท์ ก็คงราว ห้าสิบต้นๆ
เมื่อประมาณ ต้นปีที่ผ่านมา ลุงนนท์ล้มป่วย ด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษา
เขามักจะกลับไปเยี่ยมลุงทุกเดือน
แทนที่ลุงนนท์จะท้อแท้กลับเล่าเรื่องต่างๆมากมาย
และกลับเป็นคนให้กำลังใจเขาในการทำงาน
เขาเคยไปเฝ้าลุงนนท์อยู่สองครั้ง
ก็ได้เห็นว่าขณะที่ลุงนนท์นอนป่วยอยู่บนเตียงกลับให้คำปรึกษา
และเป็นกำลังใจให้ผู้มาเยี่ยมเยียนมากกว่าการเป็นคนป่วยเสียอีก
มีคนแวะมาหาสม่ำเสมอ ที่โทรศัพท์มาก็มีอยู่บ่อยครั้ง
จนชายหนุ่มยังแปลกใจว่านี่คนป่วยเหรอ
จะมีอยู่อย่างเดียวคือลุงนนท์ต้องนอนอยู่ที่เตียงเท่านั้น
และคอยให้พยาบาลดูแล
ชายหนุ่มไม่เข้าใจเลย ว่านี่คือคนที่กำลังจะตายจริงหรือ
ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับชีวิต
ทำร้ายผู้อื่น ทารุณกรรม คดโกง
คนเหล่านี้ต่างหากที่สมควรเป็นผู้รับเคราะห์มากกว่าลุงเขาที่ป่วยอยู่ตอนนี้
"ลุงไม่เสียใจเหรอ ที่ลุงเป็นอยางนี้"นี่เป็นคำถามเมื่อสองเืือนก่อนที่เขาถามลุง
"ไม่เลย ลุงว่าเวลาที่เหลือเรายังทำอะไรเพื่อคนอื่นได้อีกเยอะ มากกว่าที่ลุงจะนั่งเสียใจ
คนอีกมากมายขาดโอกาส คนอีกมากมายไม่มีเวลา แต่ลุงยังเหลือ และยังทำได้
ลุงสามารถทำอะไรมากกว่านอนอยู่บนเตียงและเสียใจ ยังมีคนต้องการความช่วยเหลือจากลุง"
"อาบน้ำครับ"เสียงพยาบาลหนุ่มดังขึ้นขัดจังหวะสนทนาของคนทั้งสอง
ลุงเอามือมาแตะบ่าผมพูดว่า"รัก หลานก็ทำเพื่อคนอื่นได้นะลองดูซิ"
ขณะที่ผมต้องออกจากห้องเพราะพยาบาลจะเช็ดตัวให้ลุงผมเห็นพยาบาลอุ้มลุงขึ้น
ร่างกายของลุงดูเล็กมากเมื่อเทียบกับแต่ก่อน เขาน้ำตาซึม
เหมือนลุงจะเห็นจึงหันมาที่เขาแล้วยิ้มให้พร้อมโบกมือที่ตอนนี้เหลือเพียงแต่หนังหุ้มกระดูก
รอยยิ้มนั้นยังติดตาของชายหนุ่มอยู่จนถึงตอนนี้
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงแล้ว โทรศัพท์ลางานแต่งตัวเตรียมเสื้อผ้าพร้อมทั้งคิดในใจว่า

"เขายังมีชีวิต มีอีกหลายอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ เขาเสียเวลากับการคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้
เขายังมีเวลาเหลืออีกเยอะที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เขายังทำเพื่อคนอื่นได้"


น้ำตา

เพราะน้ำตาไม่อาจไหลย้อนกลับได้
จงเสียใจให้กะวันที่ผ่าน
และรู้ว่ามันผ่านไปแล้ว เป็นสัจธรรม
Thirapan Kangwansura
ถ้าเอาหัวทิ่มพื้น อาจจะไหลย้อนกลับได้ :)
Gosintr Lao
คนเรานะ ทั้งที่รู้ว่าการจะทำให้น้ำตาไหลย้อนกลับมัน
ลำบากแค่ไหน ก็ยังพยายาม
เดินปกติ ยืนปกติเหอะ เลิกตีลังกาได้ละ

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บอกวันเิกิด

ยินดีในปรีดาปลื้มปราบ
บรรเลงเพลงร้อยคาบสมุทธสุดหรรษา
เมื่อมาถึงที่บรรจบครบเวลา
จำจิตตั้งใจบอกว่า สุขสันต์วันเกิด เอย