วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รัก

ทอดถอนในในวันที่เปลี่ยวดาย
เปลือกตาครี่ออก มองเห็นเพดานสีขาวในความอ้างว้างของคนคนหนึ่ง
เสียงนาฬิกาดังเตือนเวลา เจ็ดโมงเช้า
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องกระทบผนัง พยามยามรอดเข้ามาในห้อง
เพื่อสะท้อนเตือนให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะหยุดนอนอยู่บนเตียงแล้ว
"วันนี้วันหยุด"
ชายหนุ่มคิดในใจ
มือที่วางอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ตอนนี้ได้เคลื่อนตัวมาบริเวณใบหน้า
ท่อนแขนทาบอยู่บนหน้าผาก
"วันนี้วันหยุด"
ชายหนุ่มมองเพดานสีขาวแล้วคิดกับตัวเอง
เขาจำได้ว่าความรู้สึกเหงาแบบนี้เคยกดทับเขาแล้วหลายครั้ง
บางครั้งทำให้เขาน้ำตานองหน้าอย่างไม่รู้ตัว
"วันนี้วันหยุด"
เขาไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นอีกวันหรือเปล่าที่เขาอยากจะอยู่เฉยๆ
ไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่าการอ่านหนังสือ ดูทีวี ฟังเพลง
อยู่คนเดียวกับวันหยุดเพียงพัง
ไม่มีเรื่องราวใดๆ มาผลักดันให้เขาต้องทำตัวเองให้กลายเป็นเฟืองตัวหนึ่งในสังคม
ที่หมุนไปเรื่อยๆ เหมือนทุกวัน ต้องคิด ต้องทำ ต้องแข่งขัน กับเวลาที่มีอยู่จำกัด
"วันนี้วันหยุด"
แต่มันก็คงดีกว่าการนอนที่นอกจากจะเผาผลาญพลังงานในการฟุ้งซ่าน
และยังผลาญเวลาที่มีอยู่จำกัดนี้ให้หายไปในท่วงทำนองของวินาที
ที่เข็มนาฬิกาวิ่งเป็นจังหวะเพื่อเตือนอยู่บนหัวเตียง
"วันนี้วันหยุด"
ชายหนุ่มใช้เวลาจมอยู่กับความคิดที่วนเวียนอยู่กว่าชั่วโมงแล้ว
เขาไม่อยากลุก มาและ ทำเหมือนเดิมเหมือนทุกวันที่ผ่านมาอีก
กิน อาบน้ำ นั่งเหม่อ ดูทีวี
เขาคิด
เพราะอีกฟากหนึ่งของแผ่นดิน อีกประเทศหนึ่งซึ่งเขาเคยเห็นแต่ในทีวี
ยังคงขาดแคลนสิ่งที่เขาเผาผลาญไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างนี้
"อยู่คนเดียว อยู่ลำพังหว่าเหว้......" เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบและกดรับ
"สวัสดีครับแม่"ชายหนุ่มตอบด้วยความเคยชินเพราะเบอร์นี้จำได้ขึ้นใจ
"แกยังไม่ตื่นอีกเหรอ"เสียงในโทรศัพท์ พูดเหมือนจะรู้ว่าตอนนี้เขายังไม่ลุกออกจากเตียง
"มีไรป่าวแม่"ชายหนุ่มถามเพื่อเบี่ยงประเด็นที่จะตอบว่าตัวเองยังไม่ลุกจากที่นอน
".................."เสียงในสายเงียบไปซักพัก
"ลุงนนท์ เสียแล้ว แกกลับบ้านได้ไหม"
เสียงที่ปนคราบน้ำตา และความกดดัน ดังมาอีกหลายละลอก
การสนทนาด้วยความสับสนก้ำกึ่งดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ
ตอนนี้เขาตอบแม่ไปอย่างสั้นๆว่า
"ผมจะโทรไปลางานแ้ล้วรีบกลับบ้านนะแม่"
"แม่ดูแลตัวเองนะ"คำพูดสุท้ายก่อนเขาวางสายคือความเป็นห่วงที่มีอยู่ลึกๆข้างใน
ชายหนุ่มคิดถึง"ลุงนนท์"ผู้ล่วงลับ
ลุงนนท์ คือชายในฝันของเขาเมื่อยามเด็กและในปัจจุบันก็ยังคงมีอิทธิพลต่อชีวิตเขา
เป็นคนที่มักจะยิ้มอยู่เสมอ เป็นพี่ชายของแม่เขา อายุห่างจากแม่ราวสองปี
ไม่ใช่คนที่รวย หรือมีฐานะ เป็นเพียงชาวสวนนักพัฒนาคนหนึ่งแต่ที่อยู่ในหมู่บ้าน
คอยช่วยเหลือให้คำปรึกษากับคนจน เขาเคยเป็นคนที่มีรายได้มากมายในการเป็นทนาย
แต่ก็เลิกอาชีพทนาย กลับมาทำสวนทำไร่ เลี้ยงสัตว์ และเป็นที่ปรึกษาให้กับชาวบ้าน
เป็นคนที่มีเป้าหมายอยู่เสมอ มีแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง และมักจะคอยดูแลครอบครัวของชายหนุ่ม
ให้คำปรึกษาดีดี ตอนเขายังเด็ก คอยปรอบเมื่อเขาร้องให้
และเล่าเรื่องต่างต่างมากมายให้เขาฟัง
และยังมักแบ่งปันผลไม้ และอะไรหลายอย่างให้บ้านเขา ทั้งที่เมื่อเทียบฐานะกันแล้ว
ครอบครัวของชายหนุ่มกลับมีฐานะมากกว่า "ลุงนนท์"ของเขาซะอีก
นี่เป็นเหตุให้พ่อของชายหนุ่มดูถูกในการกระทำว่า"แปลกอยู่ดีไม่ชอบชอบลำบาก"
เขามานึกถึอายุของลุงนนท์ ก็คงราว ห้าสิบต้นๆ
เมื่อประมาณ ต้นปีที่ผ่านมา ลุงนนท์ล้มป่วย ด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษา
เขามักจะกลับไปเยี่ยมลุงทุกเดือน
แทนที่ลุงนนท์จะท้อแท้กลับเล่าเรื่องต่างๆมากมาย
และกลับเป็นคนให้กำลังใจเขาในการทำงาน
เขาเคยไปเฝ้าลุงนนท์อยู่สองครั้ง
ก็ได้เห็นว่าขณะที่ลุงนนท์นอนป่วยอยู่บนเตียงกลับให้คำปรึกษา
และเป็นกำลังใจให้ผู้มาเยี่ยมเยียนมากกว่าการเป็นคนป่วยเสียอีก
มีคนแวะมาหาสม่ำเสมอ ที่โทรศัพท์มาก็มีอยู่บ่อยครั้ง
จนชายหนุ่มยังแปลกใจว่านี่คนป่วยเหรอ
จะมีอยู่อย่างเดียวคือลุงนนท์ต้องนอนอยู่ที่เตียงเท่านั้น
และคอยให้พยาบาลดูแล
ชายหนุ่มไม่เข้าใจเลย ว่านี่คือคนที่กำลังจะตายจริงหรือ
ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับชีวิต
ทำร้ายผู้อื่น ทารุณกรรม คดโกง
คนเหล่านี้ต่างหากที่สมควรเป็นผู้รับเคราะห์มากกว่าลุงเขาที่ป่วยอยู่ตอนนี้
"ลุงไม่เสียใจเหรอ ที่ลุงเป็นอยางนี้"นี่เป็นคำถามเมื่อสองเืือนก่อนที่เขาถามลุง
"ไม่เลย ลุงว่าเวลาที่เหลือเรายังทำอะไรเพื่อคนอื่นได้อีกเยอะ มากกว่าที่ลุงจะนั่งเสียใจ
คนอีกมากมายขาดโอกาส คนอีกมากมายไม่มีเวลา แต่ลุงยังเหลือ และยังทำได้
ลุงสามารถทำอะไรมากกว่านอนอยู่บนเตียงและเสียใจ ยังมีคนต้องการความช่วยเหลือจากลุง"
"อาบน้ำครับ"เสียงพยาบาลหนุ่มดังขึ้นขัดจังหวะสนทนาของคนทั้งสอง
ลุงเอามือมาแตะบ่าผมพูดว่า"รัก หลานก็ทำเพื่อคนอื่นได้นะลองดูซิ"
ขณะที่ผมต้องออกจากห้องเพราะพยาบาลจะเช็ดตัวให้ลุงผมเห็นพยาบาลอุ้มลุงขึ้น
ร่างกายของลุงดูเล็กมากเมื่อเทียบกับแต่ก่อน เขาน้ำตาซึม
เหมือนลุงจะเห็นจึงหันมาที่เขาแล้วยิ้มให้พร้อมโบกมือที่ตอนนี้เหลือเพียงแต่หนังหุ้มกระดูก
รอยยิ้มนั้นยังติดตาของชายหนุ่มอยู่จนถึงตอนนี้
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงแล้ว โทรศัพท์ลางานแต่งตัวเตรียมเสื้อผ้าพร้อมทั้งคิดในใจว่า

"เขายังมีชีวิต มีอีกหลายอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ เขาเสียเวลากับการคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้
เขายังมีเวลาเหลืออีกเยอะที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เขายังทำเพื่อคนอื่นได้"


ไม่มีความคิดเห็น: